บริษัท Strategy (ชื่อเดิม MicroStrategy) กลายเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ถือครอง Bitcoin รายใหญ่ของโลก ด้วยพอร์ตการลงทุนที่มีมูลค่าสูงถึง 6.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการถือครอง Bitcoin จำนวน 597,000 BTC อย่างไรก็ตาม ภายใต้กำไรมหาศาลนี้กลับซ่อนความเสี่ยงทางการเงินที่ซับซ้อนเอาไว้ ซึ่งล่าสุด CryptoQuant บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลคริปโตชื่อดัง ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดความเสี่ยงเหล่านี้โดยอ้างอิงจากเอกสารที่ Strategy ยื่นต่อ ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคา Bitcoin ในวงกว้าง การถือครอง Bitcoin จำนวนมากนี้จึงเป็นดาบสองคมที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในเบื้องต้นนี้ก็เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง โดย กลยุทธ์ Bitcoin ของ Saylor ทำกำไรมหาศาล และทำให้บริษัทของเขากลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในวงการ
กฎบัญชีใหม่อาจสร้างภาระภาษีให้ Bitcoin โดยไม่รู้ตัว
หนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่ CryptoQuant ชี้ให้เห็นมาจากกฎการบัญชีใหม่ของสหรัฐฯ (ASU 2023-08) ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องรายงานมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ตามราคาตลาด (Fair Market Value) แม้ว่าจะยังไม่ได้ขายสินทรัพย์นั้นออกไปก็ตาม สิ่งนี้หมายความว่า Strategy อาจต้องเผชิญกับภาระภาษีกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการถือครอง Bitcoin ของตนเอง
CryptoQuant ตั้งข้อสังเกตว่ากฎดังกล่าวอาจทำให้บริษัทต้องเสียภาษีขั้นต่ำสำหรับนิติบุคคล (Corporate Alternative Minimum Tax – CAMT) ในอัตรา 15% ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้เกิดภาระผูกพันทางภาษีเป็นเงินสดจากกำไรบนกระดาษ ในเอกสารที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. ทาง Strategy เองก็ยอมรับว่าอาจต้องเสียภาษีแม้ว่าจะไม่ได้ขาย Bitcoin ออกไปแม้แต่เหรียญเดียว ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อสภาพคล่องของบริษัทที่ถือครอง Bitcoin ในระยะยาว
ความเสี่ยงด้านการจัดเก็บ Bitcoin ที่มองข้ามไม่ได้
Strategy ยังได้ระบุถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการฝากและจัดเก็บ Bitcoin (Custody) ในเอกสารที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. โดยยอมรับว่าหากผู้ให้บริการรับฝาก Bitcoin ที่บริษัทใช้บริการอยู่เกิดล้มละลายขึ้นมา Strategy อาจถูกจัดเป็นเพียงเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันทั่วไป ซึ่งหมายความว่าบริษัทอาจสูญเสียการเข้าถึง Bitcoin ทั้งหมดที่ฝากไว้ได้
ความเสี่ยงด้านคู่สัญญา (Counterparty Risk) นี้เป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนใน Bitcoin ของบริษัท เพราะหากผู้รับฝากสินทรัพย์ล้มเหลว ไม่เพียงแต่จะทำให้ Strategy สูญเสีย Bitcoin มูลค่ามหาศาล แต่ยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดโดยรวมได้อีกด้วย การพึ่งพาบุคคลที่สามในการดูแลรักษา Bitcoin จึงเป็นจุดเปราะบางที่สำคัญ

แรงกดดันจากหนี้สินอาจนำไปสู่การเทขาย Bitcoin
อีกหนึ่งปัญหาที่น่ากังวลคือธุรกิจซอฟต์แวร์หลักของ Strategy ไม่ได้สร้างกระแสเงินสดเพียงพอที่จะครอบคลุมภาระหนี้สินและเงินปันผลได้ ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2025 บริษัทมีหนี้แปลงสภาพ (Convertible Debt) มูลค่า 8.2 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) อีก 3.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีภาระค่าใช้จ่ายรายปีรวมกันกว่า 350 ล้านดอลลาร์ การขาดสภาพคล่องจากธุรกิจหลักทำให้บริษัทต้องพึ่งพาการระดมทุนจากภายนอกหรือการขาย Bitcoin เพื่อชำระหนี้
ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว ดูเหมือนว่า Michael Saylor ยังคงเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของตนเอง โดยล่าสุดมีรายงานว่า Michael Saylor ได้เข้าซื้อ Bitcoin เพิ่มเติม สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่เป็นบวกต่ออนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลนี้
CryptoQuant เตือนว่าสถานการณ์นี้ทำให้ Strategy มีความเปราะบางต่อความผันผวนของตลาดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากราคา Bitcoin ปรับตัวลดลงหรือตลาดทุนเกิดภาวะตึงตัว การต้องพึ่งพามูลค่าของ Bitcoin เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินจึงเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่หลวง
เงินปันผลหุ้นบุริมสิทธิเป็นความเสี่ยงต่อเนื่องที่ต้องจับตา
CryptoQuant ยังชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างของหุ้นบุริมสิทธิของ Strategy ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้าม โดยหุ้น STRK ให้เงินปันผล 8% ซึ่งสามารถจ่ายเป็นเงินสดหรือหุ้นได้ ส่วน STRF ให้ผลตอบแทน 10% แต่ต้องจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น และจะทบต้นหากจ่ายล่าช้าหรือไม่ครบ ขณะที่ STRD แม้จะไม่ทบต้น (non-cumulative) แต่ก็ยังมีข้อกำหนดในการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
หากบริษัทพลาดการจ่ายเงินปันผลเหล่านี้ อาจส่งผลให้เกิดการลดสัดส่วนผู้ถือหุ้น (dilution), ถูกลงโทษทางการเงิน หรือแม้กระทั่งเสี่ยงต่อการสูญเสียอำนาจควบคุมในคณะกรรมการบริษัท

ความเปราะบางต่อปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและราคา Bitcoin
การที่ Strategy ทุ่มเดิมพันกับ Bitcoin อย่างหนัก ทำให้บริษัทมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในรายงานของบริษัทเองได้ระบุว่าความผันผวนของราคา Bitcoin, อัตราดอกเบี้ย, การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ และสภาพคล่องในตลาด ล้วนเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ
CryptoQuant สรุปว่าสิ่งนี้ทำให้ชะตากรรมของ Strategy ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาของ Bitcoin เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมทางการเงินในภาพรวมด้วย หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือมีการคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างกะทันหัน อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการบริหารจัดการพอร์ต Bitcoin ของบริษัท
CryptoQuant ชี้ชัด: การบังคับขาย Bitcoin อาจกระทบทั้งตลาด
ประเด็นสุดท้ายและน่ากังวลที่สุดคือ หาก Strategy ไม่สามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนหรือตลาดตราสารหนี้ได้ บริษัทได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าอาจถูก ‘บังคับ’ ให้ต้องขาย Bitcoin ที่ถือครองอยู่ออกมา CryptoQuant เตือนว่าสถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดคริปโตโดยรวม
การเทขาย Bitcoin จำนวนมหาศาลจากผู้ถือครองรายใหญ่อย่าง Strategy อาจสร้างแรงกดดันด้านการขายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะนำไปสู่ความผันผวนของราคาอย่างรุนแรงและอาจทำให้บริษัทต้องรับรู้ผลขาดทุนภายใต้สภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งนี้ CryptoQuant ย้ำว่าบทวิเคราะห์ทั้งหมดนี้เป็นการสรุปจากเอกสารที่ Strategy ยื่นต่อ ก.ล.ต. อย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเสี่ยงที่นักลงทุนใน Bitcoin ควรรับทราบ
พิชญา รัตนวงศ์ เป็นนักข่าวและนักวิเคราะห์ด้านคริปโตเคอเรนซีและเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้มีความเชี่ยวชาญในการถ่ายทอดข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายสำหรับผู้อ่านทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือผู้เชี่ยวชาญในวงการ ด้วยประสบการณ์กว่า 8 ปีในสายงานข่าวการเงินดิจิทัลและการกำกับดูแล Web3 พิชญาเคยร่วมงานกับทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศ เช่น Bangkok Biz, Asia Blockchain Review และ BeInCrypto
เธอมุ่งมั่นในการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างผู้กำหนดนโยบาย ผู้พัฒนาเทคโนโลยี และนักลงทุน พร้อมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบคริปโตในบริบทไทย-อาเซียน ผลงานของเธอมีจุดเด่นด้านการวิเคราะห์ข่าว DeFi การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ Web3 ที่กำลังเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค