ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2025 ตลาดคริปโตกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังสหรัฐฯ เผยตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) เดือนพฤษภาคมที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคา Bitcoin ดีดตัวขึ้นทันที นักลงทุนเริ่มมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ท่ามกลางการจับตานโยบายเศรษฐกิจของ Donald Trump ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดในอนาคต
เจาะลึกตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ หนุนราคา Bitcoin ทันที
ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ชี้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.2% และเมื่อเทียบเป็นรายปี CPI เพิ่มขึ้น 2.4% ขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน ก็เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 0.3% เช่นกัน
ข่าวดีนี้ส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง Bitcoin ในทันที โดยราคาพุ่งขึ้นระดับหนึ่ง ซื้อขายอยู่ที่ระดับประมาณ 110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed อาจมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในปีนี้ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะทำให้การถือครองเงินสดมีความน่าสนใจน้อยลง และผลักดันให้นักลงทุนหันมาหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่าง Bitcoin

นอกจากการตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชนก็เป็นอีกมิติที่น่าสนใจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญชี้ถึง สัญญาณ on-chain ของ Bitcoin ก่อนราคาพุ่ง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการสะสมกำลังของนักลงทุนรายใหญ่
นโยบายภาษีของ Trump ปัจจัยเสี่ยงที่ตลาด Bitcoin ต้องจับตา
แม้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อในปัจจุบันจะเป็นใจ แต่ตลาดยังคงจับตามองนโยบายเศรษฐกิจของ Donald Trump อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายการตั้งกำแพงภาษีนำเข้า (Tariffs) ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นได้อีกครั้งในอนาคต
Adriana Kugler หนึ่งในผู้ว่าการของ Fed ได้ออกมาเตือนว่านโยบายภาษีของ Trump อาจทำลายความคืบหน้าในการควบคุมเงินเฟ้อที่ทำมาตลอด 2 ปี และคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดเจนขึ้นในปี 2025 ความไม่แน่นอนนี้ทำให้ Fed ยังคงระมัดระวังในการตัดสินใจลดดอกเบี้ย แม้จะถูกกดดันจาก Trump ก็ตาม ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุน Bitcoin ไม่สามารถมองข้ามได้
คาดการณ์ Fed ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ดัน Bitcoin ไปต่อ?
จากข้อมูลของ CME FedWatch Tool ตลาดได้คาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่าครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน และครั้งที่สองในเดือนธันวาคม การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยหนุนราคา Bitcoin และตลาดคริปโตโดยรวมในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าทิศทางของ Bitcoin ยังคงผูกติดกับข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่จะประกาศในอนาคต หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำและตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัว ก็จะเป็นการเปิดทางให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้ตามคาด ซึ่งอาจผลักดันให้ราคา Bitcoin สามารถทะลุแนวต้านสำคัญและสร้างฐานราคาใหม่ที่สูงขึ้นได้
ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้ นักวิเคราะห์ด้านเทคนิคบางรายจึงมองว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญ โดยมีการ คาดการณ์ราคา Bitcoin เข้าสู่ Price Discovery Phase ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาทะยานไปสู่จุดสูงสุดใหม่ได้
อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือการยอมรับจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งเห็นได้ชัดจากการเติบโตของกองทุน ETF โดยมี ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนสถาบันแห่ซื้อ Bitcoin ผ่านผลิตภัณฑ์อย่าง IBIT ของ BlackRock ที่สร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง
สรุป: Bitcoin ได้แรงหนุนระยะสั้น แต่ต้องจับตานโยบาย Trump
โดยรวมแล้ว สถานการณ์ปัจจุบันถือเป็นบวกต่อ Bitcoin ในระยะสั้น จากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงเกินคาด ทำให้ความหวังในการลดดอกเบี้ยของ Fed กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะนโยบายการค้าของ Donald Trump ที่อาจสร้างความผันผวนและกดดันเงินเฟ้อให้กลับมาเป็นปัญหาอีกครั้งในอนาคต การตัดสินใจลงทุนจึงควรพิจารณาทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยเสี่ยงควบคู่กันไป
ในขณะที่ Bitcoin กำลังเป็นที่จับตา สินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัญญาณเงินทุนสถาบันไหลเข้า Spot ETH ETF ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลำดับชั้นของตลาดคริปโตได้
บล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล, Web3, วิเคราะห์แนวโน้มราคาสินทรัพย์, โทเค็นโนมิกส์ Tanawat Thanichapol เป็นนักวิเคราะห์คริปโตและที่ปรึกษาบล็อกเชนอิสระจากประเทศไทยที่มีประสบการณ์กว่า 7 ปี จบหลักสูตรด้านเศรษฐกิจดิจิทัลจาก MIT Initiative on the Digital Economy (IDE) เขาเคยร่วมงานกับสตาร์ทอัพคริปโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และปัจจุบันเขียนบทความวิเคราะห์ตลาด รวมถึงพัฒนาบอทช่วยเทรดให้กับสื่อสายคริปโตหลายแห่ง เขาเชี่ยวชาญด้านโทเค็นโนมิกส์ การวิเคราะห์ on-chain และการจับสัญญาณแนวโน้มในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล สนใจเป็นพิเศษในด้านการเงินแบบกระจายศูนย์และอนาคตของ We