การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง เนื้อหาในเว็บไซต์จัดทำเพื่อให้ข้อมูล ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน โปรดอ่านนโยบายบรรณาธิการสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม
บทความนี้อาจมีลิงก์พันธมิตร ซึ่งทางเว็บไซต์อาจได้รับค่าตอบแทนหากผู้อ่านคลิกหรือลงทะเบียนผ่านลิงก์ดังกล่าว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับผู้อ่าน หากคุณยังคงใช้ไซต์นี้ต่อไป แสดงว่าคุณยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขของเรา
การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง เนื้อหาในเว็บไซต์จัดทำเพื่อให้ข้อมูล ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน โปรดอ่านนโยบายบรรณาธิการสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม
Bitcoin (BTC) และ คริปโตเคอร์เรนซี ยังคงได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องจากสถาบัน โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การบริหารของ Donald Trump
สหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางตลาดคริปโต ไม่ว่าจะในด้านกฎระเบียบหรือเศรษฐกิจมหภาค จนปัจจุบันตลาดคริปโตเริ่มเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งสะท้อนถึงการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันและความไวต่อสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด
ในรายงานล่าสุดของ HTX Ventures ได้วิเคราะห์นโยบายด้านคริปโตของ Trump สภาพคล่องของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และผลกระทบต่อวงการคริปโตในภาพรวม จะเป็นอย่างไรบ้าง เราจะมาพูดถึงกันในส่วนถัดไป
ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของวัฏจักรนี้คือการทำให้คริปโตถูกกฎหมายและการเชื่อมโยงกับสกุลเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะ BTC ซึ่งกลายเป็นสินทรัพย์หลักที่ดึงดูดเงินทุนมหาศาลจากนักลงทุนสถาบันในสหรัฐฯ ผ่าน ETF
นอกจากนี้ การยอมรับคริปโตในสหรัฐฯ ยังช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือในระยะยาวของอุตสาหกรรมนี้
กระบวนการพัฒนานโยบายคริปโตของสหรัฐฯ คาดว่าจะดำเนินต่อไปตลอดวาระที่สองของ Trump โดยมีข้อเสนอให้ใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อซื้อ BTC ซึ่งคล้ายกับการสะสมทองคำในช่วง Great Depression
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวอาจต้องใช้การปรับตัวทางการเงิน เช่น การสร้างตัวเลข GDP เชิงลบ เพื่อเปิดทางให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน ซึ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตปี 2008 และ 2020 แล้ว
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณอย่างเป็นทางการสำหรับการซื้อ Bitcoin ในลักษณะนี้ ซึ่งเราจะต้องติดตามกันต่อไป
ในขณะที่วัฏจักรตลาดคริปโตในอดีตมักจะถูกผลักดันด้วยเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น ICO boom ในปี 2017 หรือ DeFi Summer ในปี 2020 แต่วัฏจักรปัจจุบันนี้กลับถูกขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบแทน เช่น การสนับสนุนของ SEC และการเสนอจัดตั้ง “Strategic Bitcoin Reserve”
ลักษณะของตลาดคริปโตในปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยคล้ายคลึงกับหุ้นเทคโนโลยีที่มีวัฏจักรยาวขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น แถม BTC ในรอบนี้ยังมีความสัมพันธ์กับตลาดการเงินแบบดั้งเดิมสูงขึ้น และมีความผันผวนที่ต่ำกว่าปกติอีกด้วย
นักลงทุนสถาบันได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนราคา BTC โดยข้อมูลจาก CME ระบุว่า Open Interest ของ Bitcoin Futures เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยต่ำกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ก่อนการอนุมัติ ETF เป็นระดับที่คงที่เกิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีช่วงสูงสุดเกิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของ CME Open Interest อาจมาจากนักลงทุนสถาบันที่ใช้กลยุทธ์ทำกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคา Spot ETF กับ Futures โดยใช้เลเวอเรจ โดยเฉพาะเมื่อส่วนต่างนี้ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
หากนักลงทุนกลุ่มนี้พากันปิดสถานะพร้อมกัน อาจทำให้เกิดแรงขาย Spot ETF จำนวนมาก และส่งผลให้ราคา BTC ร่วงลงอย่างรวดเร็ว
นโยบายล่าสุดของรัฐบาล Trump ได้เร่งกระบวนการทำให้คริปโตเป็นที่ยอมรับในระดับสถาบัน การยกเลิก SAB 121 ช่วยเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมสามารถให้บริการดูแลสินทรัพย์คริปโตได้ เช่น Citibank ที่อยู่ระหว่างการสำรวจโอกาสในด้านบริการดังกล่าว และ JPMorgan Chase ที่มีแผนจะให้ลูกค้าลงทุนในคริปโตผ่านผู้ดูแลสินทรัพย์บุคคลที่สาม
นอกจากนี้ ร่างกฎหมาย FIT21 และคำสั่งบริหารที่เกี่ยวกับ Stablecoins ยังได้สร้างรากฐานสำหรับความชัดเจนในกฎระเบียบระยะยาว โดย FIT21 (ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา) ได้กำหนดแนวทางการจัดประเภทสินทรัพย์ดิจิทัล โดยแบ่งความรับผิดชอบระหว่าง SEC และ CFTC ตามระดับการกระจายอำนาจ
โดยโทเคนที่กระจายอำนาจมากจะอยู่ภายใต้ CFTC (หน่วยงานกำกับดูแลตลาดอนุพันธ์) ส่วนสินทรัพย์ที่มีความรวมศูนย์มากกว่าจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ SEC (หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ)
ในอนาคต อุตสาหกรรมคริปโตมีแนวโน้มที่จะได้รับข่าวดีเพิ่มเติมในด้านกฎระเบียบ แม้ว่า “US Strategic Bitcoin Reserve” ได้รับการจัดตั้งขึ้นแล้ว แต่การซื้อ BTC อย่างเป็นทางการยังไม่เริ่มต้น ซึ่งหมายความว่าอาจจะมีตัวเร่งการเติบโตสำคัญๆ รออยู่
ในขณะเดียวกัน กฎหมายเกี่ยวกับ Stablecoin ก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยร่างกฎหมาย GENIUS Act มุ่งเน้นการสร้างกรอบการกำกับดูแลที่ครอบคลุมสำหรับ Stablecoin ที่อิงกับเงินดอลลาร์ ซึ่งจะเปิดทางให้ธนาคาร ผู้ให้บริการชำระเงิน และบริษัทต่าง ๆ สามารถเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ทั้งนี้ รัฐบาล Trump ได้สนับสนุนแนวทางดังกล่าวตั้งแต่วาระแรก โดยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถดูแลหรือออก Stablecoin ได้
และนี่คือการเคลื่อนไหวที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการคริปโตในระดับโลก ในขณะที่สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าผลักดันให้ BTC และ Stablecoin กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจหลักภายใต้นโยบายการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น
กระแสการยอมรับ Bitcoin ในภาคบริษัทกำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ […]
Bitcoin (BTC) ซึ่งเคยเป็นสินทรัพย์เก็งกำไร ขณะนี้กำลังผ […]
วันนี้ราคา Pi Network (PI) ดิ่งหนัก ร่วงลงกว่า 12% เรีย […]
Bitcoin กำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยการเปิดตัว Layer 2 ที่ […]