ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกอย่าง Amazon และ Walmart กำลังซุ่มวางแผนครั้งสำคัญที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการชำระเงินไปตลอดกาล หลังมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในสภาคองเกรสสหรัฐฯ ที่กำลังผลักดันกฎหมายรองรับ Stablecoin อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นการเปิดทางให้บริษัทขนาดใหญ่สามารถสร้างเหรียญดิจิทัลของตัวเองเพื่อใช้ในการชำระเงินได้
ความเคลื่อนไหวในรัฐสภาสหรัฐฯ ที่ผลักดันร่างกฎหมาย GENIUS Act กำลังสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่การวางกรอบทางกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับ Stablecoin ที่หนุนด้วยเงินดอลลาร์ โดยกำหนดให้มีการตรวจสอบเงินสำรองที่เข้มงวดและมาตรการป้องกันการฟอกเงิน (AML) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Amazon และ Walmart รอคอยมานาน
เบื้องหลังการผลักดันนี้คือตัวเลขมหาศาลที่น่าจับตา ในปีที่ผ่านมา Amazon มียอดขายอีคอมเมิร์ซสูงถึง 447,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Walmart ทำยอดขายออนไลน์ได้กว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ การเปลี่ยนมาใช้ Stablecoin ของตัวเองจะช่วยให้บริษัทเหล่านี้ประหยัดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตได้หลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี และยังช่วยให้สามารถควบคุมข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
การผลักดันกฎหมายนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของตลาด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า ตลาด Stablecoin ที่ได้รับการสนับสนุนจากนักการเมือง อาจมีมูลค่าสูงถึงหลายล้านล้านดอลลาร์ในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการค้าปลีกเท่านั้น บริษัทเทคโนโลยีการเงินอย่าง Shopify ได้ประกาศแล้วว่าจะเพิ่มการชำระเงินด้วย USDC ภายในปี 2025 นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารยักษ์ใหญ่ที่นำโดย JPMorgan, Bank of America, Citigroup และ Wells Fargo ก็กำลังหารือเกี่ยวกับการสร้างเหรียญร่วมกันเช่นกัน ขณะที่ DTCC ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ ได้ยกให้ Stablecoin เป็น “เครื่องมือในอุดมคติ” สำหรับการชำระเงินแบบเรียลไทม์
ปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสที่ใหญ่กว่า ซึ่ง บริษัทชั้นนำใน Fortune 500 ต่างหันมาใช้ Stablecoin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน
ไม่เพียงแค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง ธนาคาร Santander ก็กำลังรุกตลาด Stablecoin ทั้งสกุลดอลลาร์และยูโร ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการฟินเทค
ขณะเดียวกัน บริษัทฟินเทครายใหญ่อย่าง Stripe ก็ได้ร่วมมือกับธนาคารแบบดั้งเดิม เพื่อผลักดันการใช้ Stablecoin ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างโลกการเงินเก่าและใหม่
แม้ว่าโปรเจกต์เหล่านี้จะยังไม่เปิดตัวจนกว่ากฎหมาย GENIUS Act จะผ่านการอนุมัติขั้นสุดท้าย แต่สัญญาณก็ชัดเจนว่าทันทีที่ภาครัฐให้ไฟเขียว เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งห้างสรรพสินค้า ธนาคาร และบริษัทฟินเทค ต่างพร้อมที่จะเปลี่ยนจากระบบการชำระเงินแบบเดิมไปสู่เทคโนโลยีบล็อกเชนในทันที
การที่กฎหมายในสหรัฐฯ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ Walmart หันมาพิจารณาการออก Stablecoin ของตัวเองอย่างจริงจัง โดยมีแรงจูงใจสำคัญคือการลดต้นทุนค่าธรรมเนียมและเพิ่มการควบคุมข้อมูลลูกค้า การเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของสองบริษัท แต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่กำลังจะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการชำระเงิน ซึ่งอาจนำไปสู่การปฏิวัติวงการค้าปลีกและสถาบันการเงินด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนในอนาคตอันใกล้นี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเรียกร้องให้สภาผู้แทนรา […]
Shopify แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ กำลังก้าวเข้าสู่โ […]
กระแสความสนใจใน Stablecoin กำลังถาโถมเข้าสู่ภาคธุรกิจขอ […]
ตามรายงานจาก Theblock.com Scott Bessent รัฐมนตรีว่าการก […]