การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง เนื้อหาในเว็บไซต์จัดทำเพื่อให้ข้อมูล ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน โปรดอ่านนโยบายบรรณาธิการสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม
บทความนี้อาจมีลิงก์พันธมิตร ซึ่งทางเว็บไซต์อาจได้รับค่าตอบแทนหากผู้อ่านคลิกหรือลงทะเบียนผ่านลิงก์ดังกล่าว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับผู้อ่าน หากคุณยังคงใช้ไซต์นี้ต่อไป แสดงว่าคุณยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขของเรา
บิทคอยน์ (Bitcoin หรือ BTC) ถือเป็นจุดศูนย์กลางที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องในตลาด Cryptocurrency ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ราคาเหรียญทำสถิติราคาสูงสุดในปี 2021 BTC ก็ผ่านทั้งช่วงขาลงและการฟื้นตัวมาตลอด จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม 2025 ราคาก็ได้ทำลายสถิติสูงสุดอีกครั้ง ซึ่งทำให้นักลงทุนจำนวนมากตั้งคำถามว่า “อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป?”
บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดตั้งแต่คุณสมบัติพื้นฐานของบิทคอยน์ ราคาในอดีต และการคาดการณ์ราคา Bitcoin อนาคตตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป เราจะวิเคราะห์ปัจจัยล่าสุดในเดือน มิถุนายน ปี 2025 ที่มีผลต่อราคา เช่น นโยบายของรัฐบาล Trump และการซื้อบิทคอยน์ของบริษัทต่างๆ
สำหรับใครที่สงสัยว่า “ตอนนี้สายเกินไปหรือยังที่จะเริ่มลงทุนใน Bitcoin?” ขอแนะนำให้อ่านบทความนี้จนจบเพื่อค้นหาคำตอบที่คุณกำลังมองหา!
ในการวิเคราะห์ศักยภาพในอนาคตของบิทคอยน์ การเข้าใจเทรนด์และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในปัจจุบันถือเป็นสิ่งจำเป็น การแสดงความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ชื่อดังอย่าง Robert Kiyosaki เกี่ยวกับบิทคอยน์ก็ไม่ควรมองข้าม ต่อไปนี้เราจะนำเสนอข้อมูลล่าสุดในเดือน มิถุนายน 2025 ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดบิทคอยน์
บิทคอยน์ได้ทำราคาสูงสุดใหม่ หรือ All-time high ในช่วงวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2025 โดยราคาต่อ 1 BTC บนแพลตฟอร์มซื้อขายต่างประเทศทะลุ $109,000 และแตะระดับใกล้ $110,000 (ประมาณ 3.6 ล้านบาทต่อเหรียญ) ในบางช่วง
การปรับตัวขึ้นของราคาครั้งนี้ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายการเงินของสหรัฐฯ ความคาดหวังต่อประธานาธิบดี Donald Trump และการไหลเข้าของเงินทุนใน Bitcoin ETF โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผ่านมา บิทคอยน์มีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่องถึง 7 สัปดาห์ติดต่อกัน แม้จะมีการขายทำกำไรและการปรับฐานจากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ตลาดยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น
นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า ราคา Bitcoin อาจทะลุ $130,000 ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งในปัจจุบันมูลค่าตลาดของบิทคอยน์ได้แซงหน้า Amazon ขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับ 5 ของโลกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงจากการซื้อขายแบบ Leverage ที่เพิ่มขึ้น และการปรับฐานราคาที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ในเดือนพฤษภาคม 2025 หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติกฎหมายเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดบิทคอยน์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรัฐที่โดดเด่นในเรื่องนี้ได้แก่ Arizona, New Hampshire และ Oregon
การเคลื่อนไหวนี้ช่วยเพิ่มความชัดเจนด้านกฎหมายและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตลาดคริปโต ส่งผลให้ ราคา Bitcoin ทะลุ $100,000 และตลาดยังคงคึกคักต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีความคาดหวังว่ารัฐอื่น ๆ ในสหรัฐฯ จะดำเนินการในทิศทางเดียวกันด้วย ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของตลาดคริปโตยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต
ในเดือนพฤษภาคม 2025 บริษัทชั้นนำหลายแห่งได้เพิ่มการลงทุนใน Bitcoin อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีได้รับแรงหนุนสำคัญ ตัวอย่างเช่น:
จากข้อมูลในช่วงต้นปีถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2025 บริษัทจดทะเบียนได้ซื้อ BTC รวมทั้งสิ้น 157,957 เหรียญ ซึ่งคิดเป็น 96% ของปริมาณทั้งหมดที่ถูกขุดขึ้นมาในปีเดียวกัน
การลงทุนของบริษัทเหล่านี้ส่งผลให้ BTC ในตลาดหมุนเวียนมีจำนวนลดลง ซึ่งช่วยให้ราคาปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ยังลดอุปสรรคในการเข้าตลาดของบริษัทอื่น ๆ และส่งเสริมการยอมรับบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์กระแสหลัก ทั้งนี้ สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากคริปโต การเข้ามาของนักลงทุนระดับสถาบัน ก็ถือเป็นสัญญาณของการเติบโตในระยะยาว
ชื่อสกุลเงิน | บิทคอยน์ (Bitcoin) |
Ticker Symbol | BTC |
จำนวนโทเค็นทั้งหมด | 21 ล้าน BTC |
ปีที่เปิดตัว | 2009 |
บริษัทผู้ดำเนินการ | ไม่มี (ใช้ระบบกระจายอำนาจ) |
อัลกอริธึมฉันทามติ (Consensus Algorithm) | Proof of Work (PoW) |
ถ้าถามว่า บิทคอยน์ คืออะไร สกุลเงินดิจิทัลแรกของโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดย Satoshi Nakamoto โดยคริปโตเคอร์เรนซีนี้ดำเนินการผ่านระบบ P2P ที่ไม่มีผู้ควบคุมกลาง และเป็นที่รู้จักในฐานะสกุลเงินดิจิทัลที่ปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยี Blockchain
หน่วยสกุลเงินของบิทคอยน์ ใช้ ticker symbol ว่า “BTC” และหน่วยที่เล็กที่สุดเรียกว่า 1 Satoshi (0.00000001 BTC)
ขณะที่เริ่มก่อตั้งใหม่ๆ บิทคอยน์มีมูลค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ต่อมามันได้เพิ่มมูลค่าอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีผู้ที่ประสบความสำเร็จจากบิทคอยน์จำนวนมาก จนปัจจุบันได้เติบโตเป็นสินทรัพย์หลักที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและบริษัททั่วโลกแล้ว
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของบิทคอยน์ คือ การมีจำนวนเหรียญที่ถูกกำหนดไว้ตายตัวที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งแตกต่างจากสกุลเงินทั่วไปที่สามารถถูกพิมพ์เพิ่มได้ไม่จำกัดโดยธนาคารกลาง ซึ่งมักนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อในระยะยาว แต่สำหรับบิทคอยน์นั้น มีความหายากในตัวเองและถูกออกแบบให้มีลักษณะ “Deflationary” หรือมีแนวโน้มลดค่าเงินในระบบ สิ่งนี้ทำให้ Bitcoin ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Digital Gold” หรือทองคำดิจิทัล เนื่องจากสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรักษามูลค่าในระยะยาวได้ดี
อีกหนึ่งจุดเด่นคือความโปร่งใสของระบบ ที่ทุกการทำธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้บนบล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเปิดเผยข้อมูลการทำธุรกรรมได้อย่างชัดเจน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ารหัสเพื่อเสริมความปลอดภัยในระดับสูง ระบบนี้ทำให้การแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในฐานะระบบชำระเงินที่ปลอดภัยสูง
แม้บิทคอยน์จะยังมีปัญหาในเรื่องของความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น การถูกแฮ็กหรือการเผชิญกับกฎระเบียบต่างๆ จากหน่วยงานกำกับดูแล แต่ในฐานะระบบการโอนมูลค่าแบบไร้พรมแดนและกระจายศูนย์ บิทคอยน์ก็ได้เข้ามาปฏิวัติระบบการเงินดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ และยังคงสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง
บิทคอยน์มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ไม่พบในสินทรัพย์หรือสกุลเงินอื่น ๆ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นปัจจัยที่รองรับมูลค่าและศักยภาพในอนาคตของมัน
บิทคอยน์ ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 นับเป็นสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลก สถานะผู้บุกเบิกนี้ช่วยสร้างคุณค่าด้านแบรนด์ที่แข็งแกร่งและยังเสริมความเชื่อมั่นในตลาด แม้จะมี Altcoin จำนวนมาก เช่น Ethereum (ETH) และ Ripple (XRP) ที่เปิดตัวตามมา แต่ Bitcoin ก็ยังคงครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในด้านมูลค่าตลาดอยู่เสมอ และไม่มีอะไรมาโค่นได้
แม้จะมีการถกเถียงเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง Bitcoin และ Ethereum อยู่บ่อยครั้ง แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ มูลค่าตลาดมหาศาลของ BTC ที่ไม่มีใครเทียบได้
ด้วยการเป็นผู้ริเริ่มที่นำ Blockchain Technology มาใช้ในทางปฏิบัติจริง บิทคอยน์จึงไม่ได้เป็นเพียงสกุลเงินเท่านั้น แต่ยังถือเป็นนวัตกรรมที่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ด้วย
สำหรับนักลงทุนจำนวนมาก บิทคอยน์ได้กลายเป็นสินทรัพย์ใหม่ในรูปแบบ “Digital Gold” หรือ “Internet Money” และยังถูกมองว่าเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ
นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวของ ราคา Bitcoin ยังส่งผลต่อแนวโน้มราคา Ethereum, Ripple และเหรียญ Altcoin อื่น ๆ อีกด้วย
ในขณะที่เงินตราแบบดั้งเดิมถูกควบคุมและออกโดยธนาคารกลางหรือรัฐบาล บิทคอยน์กลับดำเนินการในระบบที่ไม่มีผู้ควบคุมจากศูนย์กลาง แต่การทำงานของมันจะอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (หรือที่เรียกว่า Nodes) ที่กระจายอยู่ทั่วโลก
ลักษณะการกระจายศูนย์นี้มอบข้อได้เปรียบหลายประการ เช่น ความสามารถในการต้านทานการเซ็นเซอร์ หมายความว่า ไม่มีอำนาจใดสามารถบล็อคธุรกรรมได้
นอกจากนี้ยังสามารถทำธุรกรรมข้ามประเทศได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ด้วยต้นทุนต่ำ อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องการพิมพ์เงินที่ไม่จำกัดของธนาคารกลาง ซึ่งช่วยป้องกันปัญหาเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดี
ในบางประเทศที่มีความไม่มั่นคงทางการเมืองหรืออัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง บิทคอยน์จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นและไม่เหมือนใคร Bitcoin ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน แต่ยังเปรียบเสมือนนวัตกรรมทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกในยุคดิจิทัลอีกด้วย
บิทคอยน์ใช้ระบบ Consensus Algorithm ที่เรียกว่า “Proof of Work (PoW)” ซึ่งเป็นการอนุมัติธุรกรรมและออก BTC ใหม่ (Mining) ผ่านการแก้โจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน บุคคลทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ผ่านบริการ Cloud Mining และอื่น ๆ
ระบบนี้ทำให้ผู้โจมตีต้องใช้พลังการคำนวณมหาศาลในการปลอมแปลงประวัติการทำธุรกรรม จึงทำให้บิทคอยน์มีความปลอดภัยสูงในทางปฏิบัติ ขณะที่ miner ที่มีส่วนร่วมในการยืนยันธุรกรรมจะได้รับ BTC ที่ออกใหม่เป็นรางวัล แต่กระบวนการนี้ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก จึงมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ด้วยระบบ PoW นี้ เครือข่ายบิทคอยน์จึงสามารถดำเนินการอย่างเสถียรมากกว่า 15 ปีโดยไม่เคยถูกแฮกครั้งใหญ่แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งนี้ ในแง่ของนักลงทุนรายย่อย ความปลอดภัยของ Bitcoin Wallet ที่ใช้ในการทำธุรกรรมก็สำคัญเช่นกัน
หนึ่งในจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Bitcoin มีความพิเศษคือ การกำหนดปริมาณการออกเหรียญทั้งหมดไว้ที่ 21 ล้าน BTC ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่สามารถมีอยู่ได้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเงินสกุลทั่วไป (Fiat Currency) ที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้อย่างไม่จำกัด นอกจากนี้ยังมีกลไกที่เรียกว่า “Halving” หรือการลดรางวัลการขุดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นทุก ๆ ประมาณ 4 ปี
รางวัลสำหรับนักขุด Bitcoin จะถูกลดลงครึ่งหนึ่งในทุก ๆ รอบของการ Halving โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้:
2009 (เริ่มต้น) | 50 BTC ต่อบล็อก |
พฤศจิกายน 2012 | ลดลงครึ่งหนึ่งเป็น 25 BTC |
กรกฎาคม 2016 | ลดลงครึ่งหนึ่งเป็น 12.5 BTC |
พฤษภาคม 2020 | ลดลงครึ่งหนึ่งเป็น 6.25 BTC |
เมษายน 2024 | ลดลงครึ่งหนึ่งเป็น 3.125 BTC |
ความหายากและการลดลงของปริมาณ supply นี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนมูลค่าของ BTC และเมื่อดูจากข้อมูลในอดีต จะเห็นว่า แนวโน้มราคา Bitcoin มักจะเพิ่มขึ้นหลังมี Bitcoin Halving
กลไกนี้ถูกออกแบบมาโดยมีจุดประสงค์ชัดเจนจากผู้ก่อตั้งบิทคอยน์ อย่าง Satoshi Nakamoto (นามแฝง) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในข้อเสนอคุณค่าหลักที่ทำให้ BTC มีคุณสมบัติเป็นสกุลเงินที่มีลักษณะ “เงินฝืด” (Deflationary Currency) อย่างชัดเจน
บิทคอยน์มักถูกเรียกว่าเป็น “Digital Gold” เนื่องจากหายากและมีอุปทาน (supply) จำกัด
ในความเป็นจริง Bitcoin และทองคำ (Gold) มีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกันหลายประการ เช่น ความหายากที่มาจากปริมาณที่จำกัด ความเป็นระบบกระจายศูนย์ที่ไม่พึ่งพาประเทศหรือองค์กรใด ๆ ความสามารถในการต้านทานเงินเฟ้อเนื่องจากไม่สามารถผลิตเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำกัด และบทบาทในฐานะสินทรัพย์สำหรับการเก็บรักษามูลค่าในระยะยาว
ทั้งหมดนี้ทำให้ทั้งสองได้รับการยอมรับในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน
Robert Kiyosaki ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ได้รับการยอมรับ ยังเคยกล่าวว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญไม่ต่างจากทองคำและเงินเลยทีเดียว
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ผ่านมา ถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการคาดการณ์แนวโน้มราคา Bitcoin ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ราคา Bitcoin ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ได้แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่ชัดเจน แต่ในระยะยาวยังคงเคลื่อนตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ ที่ยังคงน่าสนใจในมุมมองของนักลงทุน
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงสำคัญที่ บิทคอยน์ ได้เปลี่ยนจากการทดลองทางเทคโนโลยีธรรมดาเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจจริง จากสิ่งที่มีเพียงผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีส่วนเล็กๆ รู้จัก กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่เริ่มได้รับการยอมรับในฐานะเป้าหมายการลงทุนแล้ว
แม้ในช่วงนี้จะถูกเรียกว่า “Crypto Winter” ซึ่งสะท้อนถึงการซบเซาของราคาในตลาดคริปโต แต่เบื้องหลังของราคาที่ดูเหมือนจะนิ่งเงียบ กลับมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เช่น การสร้าง Lightning Network รวมถึงการวางรากฐานของระบบนิเวศ (ecosystem) ที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการเติบโตในรอบการขึ้นราคาครั้งถัดไป
ในปีเดียวกันนี้ ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีโดยรวมเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากความนิยมของ ICO ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการบนเครือข่าย Ethereum สิ่งนี้นำไปสู่การกำเนิดของมหาเศรษฐีคริปโต จำนวนมากในช่วงเวลานั้น
ในช่วงเวลานี้บทบาทของ บิทคอยน์ ในฐานะเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อเริ่มได้รับความสนใจ และการเคลื่อนไหวของนักลงทุนสถาบันแบบดั้งเดิมที่นำบิทคอยน์เข้ามาในการจัดสรรสินทรัพย์เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางการผ่อนคลางทางการเงินขนาดใหญ่ของแต่ละประเทศในช่วง COVID-19 ความหายากของ BTC เริ่มได้รับการประเมินค่า
ปี 2021 ถือเป็นปีที่โดดเด่นสำหรับวงการคริปโต ด้วยการที่นักลงทุนสถาบันเริ่มเข้าสู่ตลาดอย่างจริงจัง รวมถึงการยอมรับในระดับประเทศที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ปีนี้ยังเป็นปีที่ประเด็นการใช้พลังงานของ Bitcoin ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันเป็นวงกว้าง โดยมี Elon Musk เป็นหนึ่งในผู้จุดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการขุดบิทคอยน์
การอนุมัติ ETF ส่งผลให้มีการไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการลดอุปทานจาก Halving และการยอมรับในระดับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ขยายตัวมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ช่วยผลักดันให้บิทคอยน์เข้าสู่ช่วงการเติบโตครั้งสำคัญอีกครั้ง และขณะเดียวกันกฎระเบียบที่มีความชัดเจนมากขึ้นก็ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดนี้ด้วย
บิทคอยน์ ลงทุนตอนนี้จะสายเกินไปหรือไม่? คำถามนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนมือใหม่จำนวนมากมีข้อสงสัย จากข้อสรุปแล้ว บิทคอยน์ยังอยู่ในระหว่างกระบวนการเติบโตและหากมองในมุมมองระยะยาวแล้ว โอกาสในการลงทุนก็ยังมีอยู่มากพอ
ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการเงินอย่าง โรเบิร์ต คิโยซากิ ก็ได้ทำนายว่า ราคา Bitcoin จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต และกล่าวว่าควรมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการลงทุน บิทคอยน์ พร้อมกับทองคำและเงิน มาดูปัจจัยหลักที่มีผลต่อ แนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ และอนาคตกัน
ราคา บิทคอยน์ และเหรียญ Shitcoin มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นฐานหลักของนักลงทุนสถาบัน การเปลี่ยนแปลงนโยบายจึงส่งผลกระทบต่อตลาด Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่สำคัญคือ นโยบายอัตราดอกเบี้ยของ Federal Reserve (Fed) หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยผลักดันราคา บิทคอยน์ ให้เพิ่มขึ้น เพราะในสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนมักจะหาผลตอบแทนที่สูงกว่าและหันไปยังสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง
ในช่วงการบริหารของ Donald Trump นโยบายการเก็บภาษีศุลกากรได้ส่งผลต่อราคาของ Bitcoin รวมถึงเหรียญ Altcoin อื่นๆ ด้วย เช่น Ethereum, Solana, Dogecoin การกำหนดภาษีสูงสำหรับประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีน อาจเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดในระยะสั้น แต่นโยบายดังกล่าวยังสามารถกระตุ้นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะยาว ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และอาจยืดระยะเวลาของความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจออกไป
อีกหนึ่งประเด็นที่ส่งผลบวกต่อบิทคอยน์ คือการขยายตัวของหนี้สาธารณะและการออกพันธบัตรในปริมาณมหาศาล ซึ่งอาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับการลดมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ในทางกลับกัน สินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัดอย่างบิทคอยน์ ซึ่งมีอุปทานคงที่ จึงมักได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ดังกล่าว
การเปลี่ยนแปลงในนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้งในด้านอัตราดอกเบี้ย นโยบายการค้า และการจัดการหนี้สาธารณะ จะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางราคาของคริปโตเคอร์เรนซีในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2025 ที่ตลาดอาจเผชิญกับความผันผวนและโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดจากปัจจัยเหล่านี้
ปัจจัยหนึ่งที่สร้างความคาดหวังอย่างมากใน แนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ คือการเปลี่ยนแปลงนโยบายบิทคอยน์ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ในระดับรัฐบาลกลาง ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อสร้าง “คลังสำรองเชิงกลยุทธ์บิทคอยน์” หรือ Strategic Bitcoin Reserves
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2025 การสำรองนี้จะนำ BTC ที่ยึดได้จากการสืบสวนอาญาและคดีแพ่งมาอยู่ภายใต้การจัดการของกระทรวงการคลัง ตามที่นายเดวิด แซคส์ ผู้รับผิดชอบด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของทำเนียบขาวกล่าวไว้ โดยคาดว่าจะมี บิทคอยน์ ประมาณ 200,000 เหรียญที่ถูกย้ายเข้าสู่คลังสำรองนี้
การตัดสินใจนี้จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือครอง Bitcoin รายใหญ่ที่สุดในโลก ช่วยเพิ่มอิทธิพลของประเทศต่อการเคลื่อนไหวในตลาดคริปโต
นอกจากรัฐบาลกลางแล้ว ระดับรัฐก็มีการผลักดันนโยบายที่น่าสนใจเช่นกัน รัฐ Texas ได้แสดงความพยายามในการดึงดูดอุตสาหกรรมการขุดเหมืองบิทคอยน์ (Bitcoin Mining) อย่างแข็งขัน และยังประกาศว่ารัฐเองก็ถือครอง BTC จำนวนหนึ่งด้วย ในขณะเดียวกัน Florida ก็กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาให้หน่วยงานการเงินของรัฐถือครอง BTC พร้อมทั้งผลักดันให้มีการยอมรับการชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลในหน่วยงานราชการ
การริเริ่มของรัฐเหล่านี้ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการกำหนดนโยบายในระดับรัฐบาลกลาง และมีแนวโน้มที่จะช่วยเร่งกระบวนการยอมรับบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์เชิงสถาบันในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบัน การที่บริษัทต่าง ๆ เช่น Strategy และ Tesla ยังคงลงทุนถือครองบิทคอยน์อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนในวงการธุรกิจทั่วโลก อีกทั้งการอนุมัติ Spot ETF สำหรับ Bitcoin ในปี 2024 ยังช่วยเปิดโอกาสให้สถาบันการลงทุนจำนวนมากสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ได้ง่ายขึ้น
แนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ ชี้ให้เห็นว่า บริษัทต่าง ๆ จะยังคงมองบิทคอยน์เป็นทั้ง “เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ” และเป็นหนึ่งในวิธีการ “กระจายพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล” การเคลื่อนไหวนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความต้องการอย่างต่อเนื่องจากสถาบันเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของราคา Bitcoin ในระยะยาว
เมื่อปี 2021 ประเทศ El Salvador ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการประกาศใช้บิทคอยน์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งนับเป็นก้าวแรกที่ประเทศหนึ่งได้นำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในระดับชาติ หลังจากนั้น Central African Republic ก็ได้ก้าวตามด้วยแนวทางที่คล้ายคลึงกัน
สำหรับประเทศกำลังพัฒนาและเศรษฐกิจเกิดใหม่ การใช้บิทคอยน์เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์แห่งชาติเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของสกุลเงินท้องถิ่น หรือพยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยเพิ่มความต้องการและมูลค่าของ BTC ในตลาดโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ
แม้ว่า Proof-of-Work ของ บิทคอยน์ จะให้การรักษาความปลอดภัยระดับสูง แต่ก็มีปัญหาสำคัญที่ต้องเผชิญอยู่ ประการแรกคือปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะการขุดบิทคอยน์ ต้องใช้ไฟฟ้าปีละ 100-150 เทราวัตต์ชั่วโมง เทียบเท่ากับประเทศระดับกลาง
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการขุดกำลังพยายามลดผลกระทบเหล่านี้ผ่านทางการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น การนำพลังงานสะอาดมาใช้ และมีส่วนช่วยในการสร้างเสถียรภาพให้กับระบบพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันคาดว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของพลังงานที่ใช้ในการขุด Bitcoin มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนแล้ว
อีกหนึ่งความท้าทายที่กำลังเป็นที่จับตามองคือ การพัฒนาของ Quantum Computing ที่อาจเข้ามาคุกคามความปลอดภัยของบิทคอยน์ในอนาคต หาก Quantum Computer ที่ทรงพลังเพียงพอถูกพัฒนาและนำมาใช้งานจริง อาจทำให้ระบบการเข้ารหัสของบิทคอยน์อ่อนแอลงได้ เช่น การถอดรหัส private key ของ address ที่เคยใช้แล้ว รวมถึงการบิดเบือนการแข่งขันในการขุด (mining) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบ
ในปัจจุบัน Quantum Computing ยังไม่ถึงระดับที่เป็นภัยคุกคาม และมีการอัปเกรดระบบ เช่น “Taproot” ที่ช่วยเพิ่มความต้านทานต่อ Quantum Computing อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าภัยคุกคามจาก Quantum Computing ที่ใช้งานได้จริงอาจจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงช่วงปี 2030 แต่หัวข้อนี้จะกลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการพัฒนา Bitcoin ในอนาคตอย่างแน่นอน
ปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญและองค์กรที่น่าเชื่อถือหลายแห่งได้เผยแพร่คาดการณ์เกี่ยวกับ ราคา Bitcoin ในอนาคต โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับนักลงทุนที่สนใจในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของเหรียญอื่น ๆ เช่น Pi Network ลองพิจารณาดูว่า แนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ มีความน่าสนใจอย่างไร
มีการคาดการณ์ว่าในปี 2025 การไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันอาจเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นฟองสบู่ในตลาดคริปโต นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ผลกระทบจากการ Halving จะเริ่มส่งผลต่อราคาอย่างชัดเจน
ในด้านนโยบาย หากมีการดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโต เช่นเดียวกับในอดีต ก็อาจช่วยกระตุ้นให้ราคาพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้การคาดการณ์ราคา Bitcoin จะมีค่ากลางอยู่ที่ประมาณ 200,000 ดอลลาร์ แต่ปัจจัยที่ยังไม่แน่นอน เช่น ความเคลื่อนไหวของกฎระเบียบหรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
การคาดการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบิทคอยน์ในอนาคต ซึ่ง แนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ ยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเติบโต
ปี 2026 ถูกคาดหมายว่าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเติบโตและการปรับตัวของตลาด Bitcoin ด้วยการพัฒนาในตลาด ETF ที่ดึงดูดนักลงทุนสถาบันให้เข้ามามากขึ้น อีกทั้งกฎระเบียบที่ชัดเจนอาจทำให้นักลงทุนที่มีแนวทางระมัดระวังกล้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น นอกจากนี้ บทบาทของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อก็อาจโดดเด่นขึ้น ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มอยู่ในช่วง 150,000-250,000 ดอลลาร์
การคาดการณ์ แนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ ไปจนถึงปี 2030 มีหลากหลายมุมมอง ในสถานการณ์ที่บิทคอยน์ได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์ในฐานะ Digital Gold และ Second Layer Solution ฯลฯ อาจผลักดันให้ ราคา Bitcoin มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องจับตามอง เช่น ความก้าวหน้าของ Quantum Computing ที่อาจเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยของเครือข่าย รวมถึงการเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น
ในกรณีที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ยังคงเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์อย่างต่อเนื่อง และมีการนำมาใช้ในระดับประเทศ การคาดการณ์ราคาประมาณ 300,000 ถึง 500,000 ดอลลาร์ ถือเป็นตัวเลขที่มีความเป็นไปได้สูง ตามแนวโน้มตลาดในตอนนี้
ขอแนะนำการคาดการณ์ราคาบิทคอยน์ล่าสุดที่เผยแพร่โดย Cryptodnes ตามการวิเคราะห์ของเว็บไซต์ของเรา ซึ่งคาดว่าเราจะเห็นราคาเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ปี | ราคาต่ำสุด | ราคาเฉลี่ย | ราคาสูงสุด |
2025 | 60,000 ดอลลาร์ | 120,000 ดอลลาร์ | 230,000 ดอลลาร์ |
2026 | 85,000 ดอลลาร์ | 120,000 ดอลลาร์ | 195,000 ดอลลาร์ |
2030 | 150,000 ดอลลาร์ | 450,000 ดอลลาร์ | 600,000 ดอลลาร์ |
เว็บไซต์ของเราคาดการณ์ว่าราคาบิทคอยน์ในปี 2025 จะเคลื่อนไหวในช่วง 60,000 ดอลลาร์ ถึง 230,000 ดอลลาร์ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะทะลุ 120,000 ดอลลาร์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025
การเกิดผลกระทบจากการ Halving ครั้งที่ 4 ที่ดำเนินการในเดือนเมษายน 2024 และการไหลเข้าอย่างต่อเนื่องของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน จะเป็นแรงหนุนสำคัญในการขับเคลื่อนการเพิ่มขึ้นนี้ หาก แนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ พร้อมกับนโยบาย Strategic Bitcoin Reserve ของรัฐบาลอเมริกาประสบความคืบหน้า ทาง Cryptodnes วิเคราะห์ว่าราคาสูงสุดอาจอยู่ที่ 230,000 ดอลลาร์ในปี 2025
อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล Trump และสถานการณ์การเงินโลกด้วย ซึ่งอาจกระทบตลาดคริปโตและทำให้ราคาบิทคอยน์ร่วงลงได้เช่นกัน
ปี 2026 คาดว่าจะเข้าสู่ช่วงปรับตัวหลังการ Halving โดยราคาคาดว่าจะเคลื่อนไหวในช่วง 85,000 ดอลลาร์ ถึง 195,000 ดอลลาร์ หากพิจารณาจากรอบ Halving ช่วง 4 ปี แม้จะมีการลดลงชั่วคราว แต่การวิเคราะห์ก็ชี้ว่า เมื่อขั้นตอนการถือครองบิทคอยน์โดยบริษัทต่างๆ เข้าสู่ระยะสมบูรณ์ ราคาก็อาจจะทรงตัวอยู่ได้
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 คาดว่าจะเข้าสู่เทรนด์ขาขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการฟื้นตัวของราคาไปสู่ปลายปี
จากการพยากรณ์ระยะยาวของ Cryptodnes ราคา บิทคอยน์ ในปี 2030 มีความเป็นไปได้ที่จะเคลื่อนไหวในช่วงกว้างตั้งแต่ 150,000 ดอลลาร์ ถึง 600,000 ดอลลาร์ ในสถานการณ์ที่เป็นไปในทางบวกที่สุด
การวิเคราะห์ชี้ว่าด้วยการขยายตัวของการนำ Bitcoin มาใช้เป็นสกุลเงินตามกฎหมายและการเข้าร่วมเต็มรูปแบบของนักลงทุนสถาบัน อาจทำให้ราคา Bitcoin พุ่งไปถึง 600,000 ดอลลาร์ได้ในปี 2030
คาดว่าสถานะของบิทคอยน์ในฐานะเครื่องมือเก็บรักษามูลค่าจะเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจาก BTC ถูกนำมาใช้เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายในหลายประเทศ และการแพร่หลายของสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนอย่างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Quantum Computer ดังนั้นเราจึงคาดการณ์สถานการณ์เชิงลบไว้ที่ระดับ 150,000 ดอลลาร์ด้วย
สำหรับผู้ที่เห็นในศักยภาพของบิทคอยน์ และสนใจซื้อ เราจะอธิบายวิธีการซื้อโดยละเอียด โดยสาธิตวิธีการซื้อ Bitcoin ผ่าน Best Wallet ใน 3 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้:
ก่อนอื่น ดาวน์โหลดแอปกระเป๋าเงิน “Best Wallet” เพื่อจัดการสกุลเงินดิจิทัลอย่างสะดวกและปลอดภัย
Best Wallet เป็นแอปกระเป๋าเงินที่ใช้งานง่ายด้วยอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่ายและความปลอดภัยสูง และนอกจาก บิทคอยน์ แล้ว ยังรองรับเหรียญ Presale ใหม่ๆ อีกด้วย มือใหม่ก็สามารถใช้งานได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ หากสมาร์ทโฟนสูญหาย คุณยังสามารถใช้ Recovery Phrase ที่เก็บไว้เพื่อกู้คืนสินทรัพย์ได้อย่างปลอดภัย ในบรรดา Bitcoin Wallet ที่ดีที่สุด Best Wallet ก็ติดโผลิสต์เช่นกัน
เมื่อการตั้งค่าบัญชี Best Wallet เสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการค้นหา Bitcoin (BTC)
สิ่งสำคัญที่นี่คือการเลือกโทเค็นที่ถูกต้อง เพราะในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมีเหรียญอื่นๆ ที่มีชื่อคล้ายกัน เช่น “Bitcoin Cash” หรือ “Bitcoin SV” อย่าลืมตรวจสอบสัญลักษณ์ (BTC) และคำอธิบายอย่างละเอียด เพื่อเลือกบิทคอยน์ที่ถูกต้อง
ใน Best Wallet ระบบมักจะแสดงเหรียญโดยเรียงจากมูลค่าตลาด ดังนั้น Bitcoin มักจะแสดงอยู่ด้านบนสุด ทั้งนี้ คุณยังสามารถซื้อสกุลเงินหลักอื่นๆ ได้ด้วยวิธีเดียวกัน
เมื่อเจอ Bitcoin แล้ว ก็ถึงเวลาเข้าสู่ขั้นตอนการซื้อ
เมื่อการทำธุรกรรมเสร็จสิ้น บิทคอยน์ที่คุณซื้อก็จะปรากฏในบัญชี Best Wallet ของคุณทันที และหลังจากซื้อแล้ว คุณสามารถตรวจสอบสถานะการถือครองและการเปลี่ยนแปลงราคาจากแท็บ “Portfolio” หรือ “สินทรัพย์” ในกระเป๋าเงินได้เลย
สิ่งที่น่าสนใจคือ บน Best Wallet คุณสามารถซื้อบิทคอยน์ได้ตั้งแต่จำนวนเล็กน้อย เช่น ส่วนหนึ่งของ 1 BTC (เช่น 0.001 BTC) รวมถึง Ethereum และ Meme Coin ยอดนิยมได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังสามารถซื้อ Stablecoin อย่าง USDT ได้อีกด้วย รวมถึงสามารถรับ Airdrop คริปโตเคอร์เรนซีได้จากโครงการต่างๆ
บิทคอยน์ได้เติบโตมาตั้งแต่ปี 2009 โดยแม้จะมีความผันผวนสูง แต่ก็เพิ่มมูลค่าในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยมีคุณสมบัติเด่น เช่น “จำนวนเหรียญที่จำกัด” “การลดลงครึ่งหนึ่งจาก halving” และ “ระบบกระจายอำนาจ” ซึ่งล้วนทำให้บิทคอยน์ถูกขนานนามว่า “Digital Gold”
2024 เป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญ เช่น การอนุมัติ ETF ในสหรัฐฯ และ Halving ครั้งที่ 4 ซึ่งทำให้บิทคอยน์เข้าสู่เฟสใหม่
ในปี 2025 เป็นต้นไป นโยบายของ Trump และการที่บริษัทและองค์กรต่างๆ หันมาสะสมบิทคอยน์ ได้ส่งผลต่อราคาเหรียญอย่างมาก
สิ่งที่น่าจับตามองต่อ ได้แก่ แผนการสำรองบิทคอยน์เชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ การเร่งสะสม BTC เข้าคลังของบริษัท เช่น Strategy และ Tesla การลดอุปสรรคในการลงทุนของนักลงทุนสถาบันผ่าน ETF ผลกระทบจากการลดอุปทานใหม่หลัง Halving และการรับมือกับ Quantum Computing ในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ ราคา Bitcoin ในปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 100,000-500,000 ดอลลาร์ และในปี 2030 อยู่ที่ 400,000-1,000,000 ดอลลาร์ แต่จำไว้ว่าการคาดการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแน่นอน ดังนั้นหมั่นติดตามข่าวสารเสมอ
สำหรับคำถามที่ว่า “บิทคอยน์ ลงทุนตอนนี้สายเกินไปหรือไม่” นั้น จริงๆ แล้วไม่สามารถตอบได้อย่างแน่ชัด แต่ถ้าพิจารณาพื้นฐานทางเทคนิค การเข้าร่วมของนักลงทุนสถาบัน และจำนวนจำกัดของการออกเหรียญแล้ว ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ทั้งนี้ นักลงทุนควรเข้าใจความเสี่ยงและลงทุนเท่าที่ตนเองพร้อมเสียได้เท่านั้น และเนื่องจากว่า แนวโน้มบิทคอยน์ วันนี้ ยังมีความผันผวนสูงอยู่ การลงทุนระยะยาวและการใช้วิธี “Dollar Cost Averaging” (DCA) จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง