Home » Analysis » Bitcoin พุ่งไม่หยุด! แต่ Kobeissi Letter ชี้ เข้าสู่โหมดผิดปกติ?

Bitcoin พุ่งไม่หยุด! แต่ Kobeissi Letter ชี้ เข้าสู่โหมดผิดปกติ?

กรกฎาคม 14, 2025 12:26 2 นาทีที่อ่าน
Disclosure

บทความนี้อาจมีลิงก์พันธมิตร ซึ่งทางเว็บไซต์อาจได้รับค่าตอบแทนหากผู้อ่านคลิกหรือลงทะเบียนผ่านลิงก์ดังกล่าว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับผู้อ่าน หากคุณยังคงใช้ไซต์นี้ต่อไป แสดงว่าคุณยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขของเรา


แบ่งปัน: หุ้น

การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง เนื้อหาในเว็บไซต์จัดทำเพื่อให้ข้อมูล ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน เนื้อหาบางส่วนอาจมี Affiliate Links ซึ่งเราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่น โปรดอ่าน Affiliate Disclaimer และนโยบายบรรณาธิการสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม

Bitcoin พุ่งไม่หยุด! แต่ Kobeissi Letter ชี้ เข้าสู่โหมดผิดปกติ?
Bitcoin (BTC) ราคากำลังพุ่งทะยานขึ้นเป็นเส้นตรงและสร้างสถิติสูงสุดใหม่ สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลงอย่างน่าใจหาย นักวิเคราะห์จาก The Kobeissi Letter ชี้ว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ แต่เป็นสัญญาณว่า BTC ได้เข้าสู่ ‘โหมดวิกฤต’ (Crisis Mode) อย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งเป็นผลพวงโดยตรงจากวิกฤตหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และนโยบายการคลังล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับ Donald Trump

การเคลื่อนไหวของราคา BTC ในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การเก็งกำไร แต่เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตา

วิเคราะห์ BTC ทะยานสวนกระแสเศรษฐกิจโลก

สถานการณ์ปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติอย่างชัดเจนในตลาดการเงินโลก ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มสูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) กลับร่วงลงกว่า 11% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แต่ตลาดคริปโตกลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 เดือน โดยมี BTC เป็นผู้นำการพุ่งทะยานครั้งนี้

การที่ราคา BTC สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ (All-Time High) ได้หลายครั้งในวันเดียว เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยขนาดนี้มาก่อน

ความสัมพันธ์ที่เคยมีอยู่ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ ดูเหมือนจะพังทลายลง ทั้งทองคำและ BTC ต่างพากันปรับตัวสูงขึ้นอย่างร้อนแรง ซึ่งโดยปกติแล้วสินทรัพย์เหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์หลบภัย (Safe Haven) การที่นักลงทุนแห่เข้าซื้อ BTC อย่างมหาศาล สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในสกุลเงินหลักของโลกอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ

การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin จึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนความกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคได้เป็นอย่างดี

เจาะลึกนโยบาย Trump ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคา BTC

จุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นให้ราคา BTC พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงคือการผ่านร่างกฎหมาย “Big Beautiful Bill” ของประธานาธิบดี Donald Trump เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ราคา BTC ดีดตัวขึ้นกว่า 15,000 ดอลลาร์ในเวลาอันสั้น

วิเคราะห์ราคา Bitcoin (BTC)
ที่มา: The Kobeissi Letter บน X

กฎหมายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จาก 36.1 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 41.1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและสร้างความกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณที่รุนแรงขึ้น

ข้อมูลล่าสุดเผยว่า สหรัฐฯ มีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 316,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2025 เพียงเดือนเดียว ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ ตลาดมองว่าการแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาลด้วย “การพิมพ์เงินเพิ่ม” และการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้มูลค่าของเงินดอลลาร์ลดลงในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้ Bitcoin ซึ่งมีอุปทานจำกัด จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหนีจากภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของสกุลเงิน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ BTC ตอบสนองต่อข่าวนโยบายการคลังอย่างรุนแรง

สถาบันการเงินแห่ลงทุน BTC: เมื่อยักษ์ใหญ่ไม่อาจมองข้าม

การพุ่งขึ้นของ BTC ในรอบนี้ไม่ได้มาจากนักลงทุนรายย่อยเพียงอย่างเดียว แต่มีแรงหนุนมหาศาลจากนักลงทุนสถาบัน กองทุน Bitcoin ETF อย่าง IBIT ของ BlackRock มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) พุ่งแตะ 76,000 ล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ถึง 350 วัน ซึ่งเร็วกว่ากองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดอย่าง GLD ที่ใช้เวลากว่า 15 ปีในการไปถึงจุดเดียวกัน ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการ BTC จากกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

จากการพูดคุยกับผู้จัดการกองทุน พบว่ากลุ่มนักลงทุนสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น Family offices, Hedge funds หรือแม้แต่กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม ต่างก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อ BTC ได้อีกต่อไป

หลายกองทุนเริ่มพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนประมาณ 1% ของ AUM เข้ามาใน BTC เพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในภาวะที่สินทรัพย์แบบดั้งเดิมมีความไม่แน่นอนสูง การไหลเข้าของเงินทุนสถาบันเช่นนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคา BTC มีเสถียรภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน

วิกฤตหนี้สหรัฐฯ คือเชื้อเพลิงชั้นดีให้ Bitcoin พุ่งต่อ

บทบาทของ BTC ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นเพียงสกุลเงินดิจิทัลสำหรับการเก็งกำไร ปัจจุบันมันได้กลายเป็นสินทรัพย์หลบภัยที่สำคัญเทียบเท่ากับทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากวิกฤตการใช้จ่ายเกินตัวและการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ เมื่อพิจารณามูลค่าของดัชนี S&P 500 ในหน่วยของ BTC จะพบว่ามูลค่าได้ลดลงถึง -15% ในปีนี้ และลดลงกว่า -99.98% นับตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งตอกย้ำว่าพลังการซื้อของ BTC แข็งแกร่งกว่าสินทรัพย์ในตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์อย่างมหาศาล

นักลงทุนไม่ได้มองว่าการซื้อ BTC เป็นเพียงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอีกต่อไป แต่เป็นการเดิมพันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้ได้ในเร็ววัน การที่ BTC ยังคงทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องคือการที่ตลาดกำลัง “Price-in” หรือรับรู้และสะท้อนความเสี่ยงนี้เข้าไปในราคาแล้ว

โดยสรุปแล้ว การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของ Bitcoin ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากวิกฤตความเชื่อมั่นในนโยบายการคลังของสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนแอลง การตัดสินใจเพิ่มเพดานหนี้ภายใต้นโยบายของ Trump ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดี ประกอบกับการที่นักลงทุนสถาบันยักษ์ใหญ่ต่างหันมาให้ความสนใจและจัดสรรเงินทุนเข้าสู่ BTC ทำให้แนวโน้มขาขึ้นของราชาคริปโตนี้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

พูดง่ายๆ ก็คือ ตราบใดที่ปัญหาการขาดดุลงบประมาณยังคงอยู่ BTC ก็จะยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะเครื่องมือรักษามูลค่าที่สำคัญที่สุดในยุคดิจิทัลนั่นเอง

บล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล, Web3, วิเคราะห์แนวโน้มราคาสินทรัพย์, โทเค็นโนมิกส์ Tanawat Thanichapol เป็นนักวิเคราะห์คริปโตและที่ปรึกษาบล็อกเชนอิสระจากประเทศไทยที่มีประสบการณ์กว่า 7 ปี จบหลักสูตรด้านเศรษฐกิจดิจิทัลจาก MIT Initiative on the Digital Economy (IDE) เขาเคยร่วมงานกับสตาร์ทอัพคริปโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และปัจจุบันเขียนบทความวิเคราะห์ตลาด รวมถึงพัฒนาบอทช่วยเทรดให้กับสื่อสายคริปโตหลายแห่ง เขาเชี่ยวชาญด้านโทเค็นโนมิกส์ การวิเคราะห์ on-chain และการจับสัญญาณแนวโน้มในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล สนใจเป็นพิเศษในด้านการเงินแบบกระจายศูนย์และอนาคตของ We
แบ่งปัน: หุ้น
เพิ่มเติมจาก
ข่าวเด่น