ในยุคเศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกัน ความต้องการชำระเงินที่รวดเร็ว โปร่งใส และต้นทุนต่ำเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ระบบการเงินดั้งเดิมล่าช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง บล็อกเชนและ Stablecoins จึงเข้ามาปฏิวัติธุรกรรมโดยเฉพาะการชำระเงินข้ามพรมแดน
รายงานล่าสุดจาก Ripple ได้ชี้ให้เห็นถึงอนาคตที่น่าจับตาในปี 2025 ซึ่ง Stablecoins จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเงินโลก
ทำไม Stablecoins ถึงเป็นอนาคตของการชำระเงินข้ามพรมแดน?
Stablecoin คือคริปโตเคอร์เรนซีที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ โดยส่วนใหญ่มักจะผูกมูลค่าไว้กับสกุลเงินตรา (Fiat Currency) เช่น ดอลลาร์สหรัฐหรือยูโร
ด้วยคุณสมบัตินี้ Stablecoins จึงมีความผันผวนของราคาน้อยกว่าคริปโตเคอร์เรนซีประเภทอื่น ทำให้เป็นประตูบานแรกที่สถาบันการเงินต่าง ๆ กล้าที่จะก้าวเข้ามาสู่โลกของบล็อกเชน
การพัฒนา Stablecoins ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการเงิน เนื่องจากบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงินข้ามพรมแดน โดยมีข้อดีหลัก ๆ คือ การสร้างเสถียรภาพทางสกุลเงิน การชำระดุลที่เกิดขึ้นได้ทันทีทั่วโลก การลดต้นทุนค่าธรรมเนียม และความพร้อมในการใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง
เปิดรายชื่อ 3 Stablecoins ยอดนิยมที่ธุรกิจเลือกใช้ในปี 2025
การเลือกใช้ Stablecoins สำหรับธุรกิจจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากเหรียญแต่ละเหรียญมีความแตกต่างกันทั้งในด้านความพร้อมในตลาด การสำรองสินทรัพย์ สภาพคล่อง และการรองรับบนบล็อกเชนต่าง ๆ
รายงานจาก Ripple ได้ยกให้ผู้ให้บริการ Stablecoins 3 รายการต่อไปนี้เป็นผู้เล่นหลักที่จะเข้ามาปฏิวัติการทำธุรกรรมในปี 2025
- Ripple ($RLUSD): เป็น Stablecoin นี้มีการค้ำประกันด้วยเงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องสูงที่ถูกแยกเก็บไว้ต่างหาก จุดเด่นคือสามารถเชื่อมต่อกับ Ripple Payments ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นโซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดนที่ได้รับใบอนุญาตเต็มรูปแบบ ช่วยให้รองรับการทำธุรกรรมในตลาดสำคัญทั่วโลก เช่น จีน ละตินอเมริกา และแอฟริกา
- Circle ($USDC): เป็น Stablecoin ที่ได้รับการยอมรับในด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดและมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Visa, Stripe และ Coinbase ทำให้ USDC ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายสำหรับการชำระเงินระหว่างธุรกิจ และการส่งเงินกลับประเทศ
- Tether ($USDT): เป็น เป็น Stablecoin ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุดในโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ซึ่งการเข้าถึงดอลลาร์สหรัฐมีข้อจำกัด ความนิยมของ USDT มาจากการเชื่อมต่อกับกระดานเทรดคริปโตและแพลตฟอร์ม P2P รายใหญ่ ส่งผลให้ USDT มีสภาพคล่องสูงและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
ยักษ์ใหญ่การเงินดั้งเดิมแห่ปรับตัว! ผสาน Stablecoins เข้าสู่ระบบ
ไม่ใช่แค่ในโลกคริปโตเท่านั้น แต่ผู้ให้บริการการชำระเงินแบบดั้งเดิมหลายรายก็ได้เริ่มนำ Stablecoins เข้ามาใช้ในธุรกิจของตนเองเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ตัวอย่างเช่น Visa ได้เริ่มนำร่องการชำระเงินด้วย Stablecoins และได้ทำธุรกรรมไปแล้วกว่า 225 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Worldpay ก็มีแผนที่จะให้บริการชำระเงินด้วย Stablecoins สำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ และยุโรป เช่นเดียวกับ Mastercard ที่ร่วมมือกับ MoonPay เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้จ่ายด้วย Stablecoins ผ่านบัตรของตนได้
ขอบคุณข้อมูลจาก https://ripple.com/insights/top-cross-border-and-stablecoin-payment-providers-in-2025/
จับตา Bitcoin Hyper โซลูชัน Layer-2 ตัวแรกของ Bitcoin ที่อาจทะยานกว่า 100x

Bitcoin Hyper ($HYPER) เป็นโครงการ Layer-2 ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความสามารถในการขยายตัวของเครือข่าย Bitcoin ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ Bitcoin เผชิญอยู่ในปัจจุบัน
โดย Bitcoin Hyper มีเป้าหมายที่จะทำให้ Bitcoin สามารถรองรับการทำธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้น ค่าใช้จ่ายต่ำลง และเพิ่มการรองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) และ Smart Contracts ด้วยการใช้เทคโนโลยี Solana Virtual Machine (SVM)
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าราคา Bitcoin Hyper มีโอกาสพุ่งทะยานหลายเท่าตัวเมื่อถูกลิสต์บนกระดานเทรดชั้นนำอย่างเป็นทางการ แต่ขณะนี้ โครงการกำลังเปิดขายโทเค็นรอบพรีเซลในราคา 0.012425 ดอลลาร์และราคาจะถูกปรับเพิ่มขึ้นทุก 2-3 วัน
ผู้ที่สนใจสามารถเรียนรู้รายละเอียดโครงการ Bitcoin Hyper เพิ่มเติมและวิธีการซื้อโทเค็นอย่างละเอียดได้ที่นี่
สุกฤษ วิทยา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่คร่ำหวอดในวงการมากว่า 10 ปี เขาเริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชันด้านฟินเทคก่อนจะหันมาให้ความสนใจในการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัลในช่วงปี 2017 ผ่านการเขียนบล็อก ปัจจุบัน สุกฤษเป็นทั้งนักวิเคราะห์เทคโนโลยี Web3 นักเขียน และที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลให้กับทั้งสตาร์ทอัปและองค์กรภาครัฐ ผลงานของเขามุ่งเน้นที่การเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีกับการใช้งานจริงในโลกการเงิน โดยเฉพาะการอธิบายแนวคิดซับซ้อนให้เข้าใจง่าย พร้อมทั้งนำเสนอบทวิเคราะห์ที่ช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นโอกาสและความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างรอบด้าน